.....อารมณ์ขันเป็นอารมณ์หนึ่งซึ่งให้ผลดีต่อสุขภาพ ต้องหมั่นส่ร้างเสริมให้เป็นนิสัย ตรงข้ามกับอารมณ์โกรธ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ให้ผลร้ายต่อสุขภาพ ต้องพยายามลดลงหรือไม่มีเลย ในวัยเด็กมักจะสนุกสนาน หัวเราะง่าย มีเรื่องทุกข์ร้อนก็ลืมง่าย ไม่เก็บมาคิดนาน แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นนักบริหาร หรือผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบสูง บางคนแทบจะไม่รู้จักการหัวเราะ เกือบลืมไปว่าการหัวเราะเป็นอย่างไร หรือแม้แต่การยิ้มก็ยิ้มไม่ออก เพราะทั้งก่อนนอนและตื่นนอนก็หมกมุ่นอยู่กับงานและปัญหารอบด้าน เคร่งเครียดทั้งวัน ประเภทตึงเครียด ฟังเรื่องอะไรก็ไม่ตลก คนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดทำให้ผู้คนหนีห่าง ไม่อยากอยู่ใกล้
..
...1..เมื่อตื่นนอนหมั่นเตือนตัวเองทุกวันว่า วันนี้เราจะมีชีวิตที่มีความสุข..สร้างนิสัยที่สนุกสนานร่าเริง ให้มองชีวิตประจำวันด้วยอารมณ์ขันเสมอ แม้มีเรื่องที่ทำให้เราโกรธ ไม่พอใจ เคร่งเครียด ถ้ามองให้เห็นเป็นเรื่องขบขัน ก็จะช่วยลดความตึงเครียดลงได้
...2..ระมัดระวังความคิด..เมื่อได้ฟังหรือได้ประสบกับเรื่องที่ขบขันด้วยตนเอง ให้จดจำไว้ เมื่อนึกถึงจะทำให้เรายิ้มหรือหัวเราะได้ อย่าไปนึกถึงเรื่องที่ทำให้เราคับแค้นใจ ซึ่งจะทำให้จิตใจเราเศร้าหมองไม่มีความสุข
...3..นำเรื่องขบขันนั้นมาเล่าต่อ..ช่วยสร้างอารมณ์ขันให้แก่เพื่อนและตัวผู้เล่าเอง บางคนมีพรสวรรค์ สามารถเล่าเรื่องชีวิตประจำวันทั่วไปให้เป็นเรื่องขบขัน คนฟังหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างบรรยากาศสดชื่นในที่ทำงาน ทำให้รู้สึกสนุกสนานกับการทำงานมากขึ้น
...4..อย่าลืมหัวเราะในทุกๆวัน..มองชีวิตประจำวันให้เป็นเรื่องสบายๆ อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นมากนัก ถ้ามีเวลาก็อ่านเรื่องและจดจำเรื่องที่ขบขัน แล้วเล่าให้ผู้อื่นฟังต่อด้วย จะช่วยให้มีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะอารมณ์ขันเป็นสิ่งที่ติดต่อถึงกันได้ ถ้าเคร่งเครียดจนสร้างอารมณ์ขันไม่ออก อย่างน้อยให้ยิ้มไว้จนติดเป็นนิสัย
...5..เรียนรู้การผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้า..เริ่มตั้งแต่ หน้าผาก คิ้ว ดวงตา แก้ม ปาก คาง และคอ สูดลมหายใจลึกๆ แล้วพยายาม..เผยอยิ้ม..โลกของคุณจะสดใสขึ้น และสร้างอารมณ์ขันให้เกิดได้ง่ายขึ้น
..
...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น